เหตุใดการจดๆ จ้องๆ เฝ้ามองดู ‘กลยุทธ์ทางธุรกิจ’ ระหว่าง 2 คู่แข่งยักษ์ใหญ่ในตลาดเครื่อง CONSOLE จึงกลายเป็นที่จับตามากมายขนาดนี้ เพื่อให้เกิด ‘อรรถรส’ สำหรับการค่อยๆ ปรายสายตาละเลียดอ่าน เราขออนุญาตพา ‘คุณ’ ไปรำลึกถึงมหาสงครามระหว่าง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ในโลกวิดีโอเกม ในแบบฉบับรวบรัดกันก่อน
• อภิมหาสงคราม SONY VS MICROSOFT
สงครามระหว่าง PLAYSTATION และ XBOX มันเริ่มต้น หลังจาก ‘บิล เกตส์’ เจ้าพ่อ WINDOW เห็นเม็ดเงินก้อนโตจากตลาดเครื่อง CONSOLE ที่นับวันจะยิ่งโตขึ้นๆ จากยอดขาย PLAYSTATION 1 ที่มียอดขายรวมกันถึง 102.4 ล้านเครื่อง (สถิติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012) จนกระทั่งสามารถล้ม 2 พี่เบิ้มแห่งวงการ อย่าง NINTENDO และ SEGA ขึ้นไปครองบัลลังก์แทนได้สำเร็จ
โดยวันที่ 15 พฤศจิกายน 2001 ปฏิบัติการล้มล้างจักรวรรดิ PLAYSTATION จึงปรากฏชัดให้เห็นเป็นรูปร่าง เมื่อ MICROSOFT เปิดตัว CONSOLE ที่มีชื่อเรียกว่า XBOX ลงสู่ตลาด เพื่อเปิดหน้าสู้กับแชมป์เก่า อย่าง SONY ที่เปิดตัว PLAYSTATION 2 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปี 2000
อย่างไรก็ดี แม้สเปกของ XBOX จะแรงกว่า PLAYSTATION 2 แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นไปตามคาด โดย XBOX สามารถทำยอดขายทั่วโลกไปได้เพียง 24 ล้านเครื่อง ในขณะที่ PLAYSTATION 2 กลับขายดียังกับแจกฟรี โดยสามารถทำยอดขายทั่วโลกไปได้ท่วมท้นถึง 155 ล้านเครื่อง (สถิติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2012) และถือเป็น CONSOLE ที่ขายดีที่สุดในโลก (จนถึงปัจจุบันปี 2020)
อย่างไรก็ดี แม้จะพ่ายแพ้อย่างยับเยินในยกแรก แต่ FEATURE XBOX LIVE รวมถึงการนำ HARD DRIVE ลงไปบรรจุในตัวเครื่อง ก็ได้เปลี่ยนแปลงตลาดของโลก CONSOLE ไปตลอดกาล
• PLAYSTATION3 VS XBOX 360
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2005 MICROSOFT เปิดศึกกับ SONY รอบใหม่ ด้วยการเปิดตัว XBOX 360 ที่มันมาพร้อมความแปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การ STREAM เพลงและภาพยนตร์ และแน่นอน รวมถึงการเล่นเกมในแบบฉบับกดคลิก LOAD โดยไม่ต้องใช้แผ่น แถม USERS ยังสามารถอัปเดตเครื่องผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ด้วย
แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาได้มากที่สุด คือ เมื่อมีการปล่อยซีรีส์เกมเรือธงของเครื่อง อย่าง HALO 3 ออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2008 มันช่วยดันยอดขาย XBOX 360 พุ่งทะลุ 30 ล้านเครื่องได้ในทันที หนำซ้ำ! ยอด USERBASE ที่ ACTIVE ในเดือนมกราคมปี 2011 ยังสูงถึง 30 ล้าน USERS ด้วย
โดยหลังสิ้นสุดการขาย XBOX 360 ทำยอดขายทั่วโลกได้ถึง 76 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็น CONSOLE ที่ขายดีที่สุดในโลกอันดับที่ 8 นอกจากนี้ KINECT ไอเทมตัวจับการเคลื่อนไหว ลูกเล่นที่ตามรอย ‘จอยมหัศจรรย์สุดหรรษา’ เครื่อง Will ของ NINTENDO ยังขายได้ทั่วโลกถึง 24 ล้านเครื่องด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ฝ่าย SONY ซึ่งกำลังหยิ่งผยองจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของซีรีส์ PLAYSTATION 1 และ 2 ติดต่อกัน นอกจากจะเปิดตัว PS3 ล่าช้ากว่าคู่แข่งแล้ว ราคาขายที่ประกาศออกมา ซึ่งแพงละลิ่วถึง 499 และ 599 เหรียญสหรัฐ (ในขณะที่คู่แข่งอย่าง XBOX 360 เปิดตัวที่ราคา 299 และ 399 เหรียญสหรัฐ ส่วนเครื่อง WII ของ NINTENDO มีราคาแค่ 249 เหรียญสหรัฐ เท่านั้น!) ทำเอาบรรดาเกมเมอร์ถึงกับอ้าปากค้างอยากแทบไม่เชื่อสายตา และเมื่อทั้งแพงและตัวเครื่องก็มีขนาดใหญ่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดบ้านและที่วางโทรทัศน์ในครัวเรือนประเทศญี่ปุ่น
คุณคงไม่แปลกใจเลยใช่ไหมว่า PS3 คือ การเปิดตัว PRODUCT ที่สุดหายนะของ SONY!
PS3 ที่ถึงแม้จะมีสเปกสุดแรง และเริ่มมีการติดตั้ง HARD DRIVE (ตามรอย MICROSOFT) รวมถึงเป็น CONSOLE รุ่นแรกของโลกที่ติดตั้ง BLU-RAY DRIVE แต่ปรากฏว่า ยอดขายของมันกลับอืดยิ่งกว่าเต่าคลานเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้ SONY จึงยอมตัดใจกลืนเลือด ด้วยการหั่นราคาขาย PS3 ลงไปสู้กับคู่แข่ง จนถึงขนาดที่มีรายงานว่า เจ้าพ่อแห่งเทคโนโลยีญี่ปุ่นขาดทุน การหั่นราคา CONSOLE แห่งหายนะนี้ถึง 240 เหรียญสหรัฐต่อเครื่องเลยทีเดียว!
อย่างไรก็ดี ในห้วงเวลาแห่งหายนะเช่นนั้น ยังพอปรากฏมีแสงสว่างเล็กๆ อยู่บ้าง นั่นก็คือ การนำเสนอบริการใหม่ ที่มีชื่อว่า PLAYSTATION PLUS (ระบบขายเกมและเล่นเกมออนไลน์) ซึ่งจนถึงปัจจุบัน มันก็ยังคงสามารถสร้างฐานลูกค้าให้กับ SONY ได้อย่างแข็งแกร่ง
เอาล่ะ ถึงแม้จะเปิดตัวในแบบล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ในท้ายที่สุด หลังการยอมขายแบบขาดทุนจนถึงปี 2010 และถึงวันที่ประกาศยุติการผลิตทั่วโลกในปี 2017 PLAYSTATION 3 ก็ยังสามารถขายได้สูงถึง 87.4 ล้านเครื่อง (สถิติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2017) แต่อย่างไรก็ดี มันก็ยังถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของ SONY ที่หวังเอาไว้สูงลิ่วถึง 140 ล้านเครื่องอยู่ดี
• PLAYSTATION 4 VS XBOX ONE
SONY และ MICROSOFT เปิดตัว CONSOLE ในเวลาที่ห่างกันเพียง 1 สัปดาห์ PLAYSTATION 4 เปิดตัวในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2013 ในขณะที่ XBOX ONE เปิดตัวในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2013 แต่สิ่งหนึ่งที่ละม้ายคล้ายคลึงกันกับปรากฏการณ์ ณ ปัจจุบัน คือ ทั้งสองฝ่ายต่างยังคงกั๊กราคาขายเอาไว้ก่อน
จนกระทั่ง PS4 ยอมเปิดราคาขายของตัวเองก่อนที่ 399.99 เหรียญสหรัฐ และต่อมาอีกไม่นาน XBOX ONE ก็ยอมเปิดราคาตามหลังที่ 499 เหรียญสหรัฐ ซึ่งแพงกว่าคู่แข่ง 100 เหรียญสหรัฐ
และแม้ทั้งคู่จะมี HARDWARE ที่คล้ายคลึงกัน แต่มีจุดที่แตกต่างกันเล็กน้อย คือ XBOX ONE มีการประมวลผลที่เร็วกว่าเล็กน้อย รวมถึงยังสามารถกลับไปเล่นเกมเก่าๆ จาก XBOX และ XBOX 360 ได้ ผิดกับทาง PS4 ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ (ยกเว้นจะแอบเล่น โดยใช้ EMULATION) แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกัน PS4 ขายทั่วโลกได้ถึง 110.4 ล้านเครื่อง (สถิติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2020) ในขณะที่ XBOX ONE ขายได้เพียง 41 ล้านเครื่องเท่านั้น
เอาล่ะ เราอารัมภบท ‘มหาศึกวิดีโอเกม’ กันมาสิ้นเปลืองหลายบรรทัดแล้ว ถึงเวลาที่ต้อง ‘โฟกัส’ สงครามครั้งใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นกันดีกว่า ว่า ครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายน็อกฝ่ายตรงข้ามให้ลงไปกองกับพื้น!
• PS5 vs Xbox Series X เราควรเลือกซื้ออะไรดี?
ประเด็นที่ 1 ราคา
ราคาเปิดตัว XBOX ONE แพงกว่า PS4 ถึงประมาณ 100 เหรียญสหรัฐ (และราคานี้ยังไม่รวม KINECT ตัวจับความเคลื่อนไหว) และนั่นเอง คือ จุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ (แบบยับเยิน)
แต่ทั้งหมดนั้น มันคือเมื่อ 7 ปีก่อน ซึ่งภาวะตลาดแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากมายนัก และ ‘บทเรียนราคาแพง’ เช่นนั้น MICROSOFT ย่อมไม่ปรารถนาให้มันเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
และหากใครยังจำกันได้ ‘ราคา’ คือ บทเรียนที่(เคย)แสนเจ็บปวดสำหรับ SONY มาแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ทั้งแชมป์เก่าและผู้ท้าชิงจึงย่อมต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์เห็นตรงกัน คือ ทั้ง 2 ค่าย จะไม่ดื้อรั้นฝ่ากำแพงราคาเกิน 500 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 15,783 บาทแน่นอน (อัตราแลกเปลี่ยน 31.57 บาท) เพราะหากทำเช่นนั้น ความเป็นไปได้ทางการตลาดที่จะสามารถทำกำไร 100 เหรียญสหรัฐต่อเครื่อง จะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ฉะนั้น ตอนนี้ที่เราต้องจับตา คือ ใครจะมีความอดทน(รอคอย)ให้อีกฝ่าย ‘เผยไต๋’ เรื่องราคาก่อนกัน
ล่าสุด ‘จิม ไรอัน’ (JIM RYAN) CEO ของ SONY ได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC ถึงประเด็นที่อาจเชื่อมโยงไปถึง ‘กลยุทธ์ด้านราคา’ (หรืออาจเป็นกลยุทธ์สับขาหลอกศัตรู) ในสงครามครั้งล่าสุดนี้เอาไว้ว่า
"ความคุ้มค่าย่อมสวนทางกับราคา ผมไม่เห็นถึงความจำเป็นเลยว่า ทำไมจะต้องขายในราคาที่ย่อมเยา นั่นเป็นเพราะ ‘ความคุ้มค่า’ มันย่อมมาพร้อมกับประโยชน์ที่จะได้รับเพิ่มขึ้นมากมาย"
อย่างไรก็ดี เมื่อเร็วๆ นี้ ทางสำนักข่าว BLOOMBERG ได้รายงานว่า แม้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น คือ ปริมาณของชิ้นส่วนหน่วยความจำที่หายาก ซึ่งใช้ประเภทเดียวกันกับ Smartphone จนทำให้ราคาต้นทุนของ PS5 สูงขึ้น จนไปแตะที่ระดับราคา 450 เหรียญสหรัฐต่อเครื่อง แต่ SONY จะยังคงกดราคาขายเอาไว้ไม่ให้สูงนัก เนื่องจากเกรงว่า ปัญหาเรื่อง ‘ราคา’ จะไปกระทบต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค สำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่กับ MICROSOFT ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า PS5 น่าจะมีราคาเปิดตัวอยู่ที่อย่างน้อยที่สุด 470 เหรียญสหรัฐต่อเครื่อง ในขณะที่ XBOX SERIES X มีข่าวหลุดออกมาว่า น่าจะมีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 410 เหรียญสหรัฐ
ซึ่งกลยุทธ์นี้จะไม่ต่างกับเมื่อครั้งที่ SONY ใช้เมื่อ 7 ปีก่อน โดยเมื่อปี 2013 ราคาเปิดตัวของ PS4 อยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ ทั้งๆ ที่ต้นทุนต่อเครื่องอยู่ที่ 381 เหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ SONY ยังจะมีแผนการผลิตเพียง 5-6 ล้านเครื่อง ในช่วงเดือนมีนาคมปี 2021 อีกด้วย ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าจำนวนเครื่อง PS4 ที่ผลิตออกมาในช่วงเปิดตัวปี 2013 โดยมีเหตุผลสำคัญมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่กลายเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับการทำตลาดเพื่อเปิดตัว CONSOLE รุ่นใหม่
โดยผลกำไรที่ได้น้อยลงจากยอดขายเครื่อง บริษัทจะไปหาชดเชยเอากับกำไรที่ได้จากบรรดาเกมและบริการต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับที่ ‘เคนิชิโระ โยชิดะ’ (KENICHIRO YOSHIDA) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SONY ได้เคยให้ความเห็นถึงธุรกิจเกมในยุคนี้ว่า จำนวน USERS คือ ตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดไปแล้ว
เอาล่ะ แม้ตอนนี้ทั้ง SONY และ MICROSOFT จะไม่ประกาศวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่ที่เล็งกันไว้ คือ น่าจะมีการวางจำหน่าย(ชนกัน) ในช่วง HOLIDAY หน้าร้อนปี 2020 (ค่อนข้าง) แน่นอนแล้ว
อ่อ…เกือบลืมบอกไป ทั้ง PS5 และ Xbox Series X น่าจะเป็น GEN สุดท้ายของเครื่อง CONSOLE ที่จะมี ‘เครื่องอ่านแผ่นดิสก์’ หรือ ‘แผ่นบลูเรย์’ ติดตั้งแล้ว เพราะการ ‘เปิดทางเลือกใหม่’ ด้วยการมีรุ่น Digital Edition (ซึ่งจนถึงตอนนี้ ทั้ง 2 แบบก็ยังไม่ได้มีการประกาศราคาออกมาแต่อย่างใดเช่นกัน) นั้น น่าจะเป็นการแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนแล้วว่า ทั้ง 2 ค่าย กำลังมุ่งสู่ยุค DOWNLOAD โดยสมบูรณ์หลังจากนี้
ประเด็นที่ 2 Storage Space
ปัจจุบัน เกมระดับ AAA มีขนาดความจุที่น่าตกตะลึง ยกตัวอย่างเช่น Call of Duty: Modern Warfare ที่สูงถึง 70 GB หรือ RED DEAD REDEMPTION 2 ที่น่าขนหัวลุกกว่า ที่ 107 GB! (ยังไม่รวม SAVE) ด้วยเหตุนี้ เกมเมอร์สาย LOAD (อย่างเดียว) จะต้องพบกับปัญหาแน่ๆ หากทั้ง PS5 และ X BOX SERIES X ให้พื้นที่ STORAGE เครื่อง มาเพียงรุ่น 500 GB และรุ่น 1TB
ฉะนั้น ในประเด็นนี้ ราคาขายกับพื้นที่ STORAGE จึงกลายเป็นจุดที่ต้องจับตาอีกหนึ่งจุดไปอย่างช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาก SONY เกิดทำรุ่น 2TB ออกมาขายตามข่าวลือขึ้นมาจริงๆ (ปัจจุบัน PS4 มีความจุสูงสุด 1TB) จะเท่ากับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าการทำสงครามครั้งนี้ออกไปอีกขั้น โดยเฉพาะในแง่ความคุ้มค่าของราคาที่ต้องจ่ายสำหรับการลงทุนครั้งสำคัญของเกมเมอร์
ประเด็นที่ 3 ขุมพลัง GRAPHICS
หากดูเพียงเฉพาะ ‘สเปก’ ที่ประกาศออกมาตามหน้ากระดาษที่ว่า Xbox Series X สามารถรองรับการประมวลผลชุดคำสั่งได้ 12 ล้านล้านคำสั่งต่อ 1 วินาที (12TERAFLOPS) ในขณะที่ PS5 สามารถทำได้ 10.3 ล้านล้านคำสั่งต่อ 1 วินาที (10.3TERAFLOPS) แล้วฟันธงไปเลยว่า Xbox Series X จะแสดงผลกราฟิกได้ดีกว่า มันก็คงพูดเช่นนั้นได้ไม่เต็มปากนัก เพราะความแตกต่างในระดับ 1.7 TERAFLOPS มันไม่ได้มีความแตกต่างในเรื่องการแสดงผลกราฟิกที่มีนัยสำคัญอะไรมากมายนัก อีกทั้งสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม คือ มันไม่ใช่ว่าทุกๆ เกมจะสามารถใช้ประโยชน์จากความเร็วในระดับ 12TERAFLOPS ได้
นั่นเป็นเพราะ มัน(มัก)จะมีเฉพาะบางเกม(เท่านั้น) ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือ เกมจากค่ายของตัวเอง หรือเกมจากเครือข่ายพันธมิตรผู้ใกล้ชิดและมีซีรีส์เกมขายดี (เท่านั้นเช่นกัน) ที่จะได้รับสิทธิพิเศษสำหรับการปรับแต่งให้เหมาะสมกับศักยภาพความเร็วระดับปิศาจดังที่ว่านั้น ฉะนั้น จากข้อมูลจนถึง ณ วินาที คงบอกได้เพียงว่า CONSOLE ทั้งคู่มีประสิทธิภาพที่(น่าจะ)ใกล้เคียงกันเอามากๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะฟันธงได้ว่า "ใครแรงกว่ากัน" ได้ มันก็คงจะต้องรอผลการทดสอบประสิทธิภาพ ‘ของจริง’ หลังจากที่มีการวางจำหน่ายเสียก่อน
นอกจากนี้ ทั้ง PS5 และ XBOX SERIES X มีการใช้เทคโนโลยี RAY-TRACING ซึ่งจะทำให้มีการเรนเดอร์ภาพที่มีความคมชัดของแสงและเงาที่สมจริงสมจังมากขึ้น รวมถึงทั้ง 2 ผู้ลงทำศึกในครั้งนี้ จะใช้ระบบเสียงแบบ 3D AUDIO เพื่อเพิ่มมิติของระดับเสียงที่ทรงพลังมากขึ้นในระหว่างการเล่น
หากจะพูดให้เห็นภาพกันง่ายๆ ก็คือ หากคุณเป็นสายเล่นเกมจำพวกระเบิดภูเขาเผากระท่อม สิ่งที่คุณจะได้รับคือ คุณแทบจะเห็นปลายของสะเก็ดระเบิดจะจะ คาตา รวมถึงเสียงระเบิดก็จะมาในแบบรอบทิศทางเสมือนอยู่ในดงระเบิดกันเลยทีเดียว!
ขณะเดียวกัน การที่ทั้ง PS5 และ XBOX SERIES X สามารถรองรับความละเอียดของภาพได้ในระดับความคมชัด 4K จนถึงสูงสุด 8K นั้น น่าจะเป็นการวางแผนสำหรับอนาคตให้กับ CONSOLE เจนล่าสุดทั้งคู่ เพื่อให้มันสามารถวางขายได้ยาวๆ ในระดับขั้นต่ำที่สุด คือ 5-7 ปี
เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ปัจจุบันราคาทีวี 8K ส่วนใหญ่ยังมีราคาสูงมาก เอาแค่ทีวีขนาด 55 นิ้ว 8K ของ SAMSUNG ยังอยู่ที่ราคาถึง 2,499 เหรียญสหรัฐ! ส่วนขนาด 98 นิ้ว 8K ของทั้ง SONY และ SAMSUNG ราคายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะค่าตัวของมันสูงถึง 60,000 เหรียญสหรัฐ!
ด้วยเหตุนี้ การทำ CONSOLE เจนล่าสุดนี้ ให้รองรับความคมชัด 8K เอาไว้ก่อนล่วงหน้า และขายได้ยาวๆ เพื่อรอให้ทีวี 8K มีราคาถูกลง (ซึ่งไม่ต่างจากทีวี 4K ที่ในปัจจุบันราคาถูกลงอย่างเหลือเชื่อ) น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและลงตัวเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทำธุรกิจเพื่ออนาคต
ประเด็นที่ 4 CONTROLLER
จากข้อมูลจนถึงปัจจุบัน ‘คอนโทรลเลอร์’ ของทั้ง PS5 และ Xbox Series X มีการอัปเดตเทคโนโลยีเรื่องการสั่นสะเทือนให้ตอบสนองและสัมพันธ์กับเกมมากขึ้น แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องจับตา คือ แบตเตอรี่ของใครจะอึดมากกว่ากัน เพราะสิ่งหนึ่งที่บรรดาเกมเมอร์บ่นกันอุบสำหรับ CONSOLE เจนปัจจุบัน คือ มันสามารถเล่นโดยไม่ต้องชาร์จได้เพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลายครั้งแล้วที่จุดเล็กๆ ที่ถูกละเลย สุดท้ายกลับกลายเป็นจุดที่นำไปสู่ชัยชนะครั้งสำคัญได้เช่นกัน (เพราะเราเองก็เบื่อกับการที่จะต้องต่อสายชาร์จจอยบ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง MOMENT สำคัญๆ ชี้เป็นชี้ตายระหว่างเล่นเกมเช่นกัน)
ประเด็นที่ 5 GAME EXCLUSIVES
อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ(มากๆ) ที่พา PS4 ยอดขายวิ่งฉิวแบบติดลมบน คือ สารพัดเกมสุดพิเศษสำหรับเฉพาะ PLAYSTATION 4 (เท่านั้น)
ซึ่งการเปิดหน้า (ครั้งแรก) ของทั้ง 2 ฝ่าย ดูเหมือนฝ่าย PS5 ดูจะดีกว่า(นิดๆ) นำหัวขบวนโดยเกมระดับ AAA อย่าง Spider-Man: Miles Morales, Ratchet & Clank: Rift Apart and Horizon: Forbidden West Gods of War and Gran Turismo ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คุณจะไม่สามารถหาเล่นใน PC ได้แน่นอน รวมถึงอย่าหวังว่าจะมีแฮกเกอร์หน้าไหนในโลกจะสามารถเจาะระบบเพื่อให้เครื่องเล่นแผ่นก๊อปได้ เหมือน PS1 และ PS2 เพราะนับตั้งแต่ PS3 และ PS4 SONY ยังคงสามารถรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของ CONSOLE ลูกรัก เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ส่วนทาง Xbox Series X ดูจะเรียกเสียงฮือฮาได้เล็กน้อยมาก กับการที่ยอมเผยไต๋เพียงเกม Halo Infinite and Senua's Saga: Hellblade II
แต่เดี๋ยวก่อน... อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว คุณอาจจะกำลังคิดว่า MICROSOFT น่าจะแพ้อีกเหมือนเดิมแล้ว คุณอาจกำลังคิดผิด นั่นเป็นเพราะปัจจุบัน MICROSOFT กำลังมุ่งไปสู่ ‘รอยทางใหม่’ ที่(อาจ)ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับยุทธศาสตร์ GAME EXCLUSIVES อีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นเพราะหลักใหญ่ใจความในแผนที่วางไว้ คือ เกมทั้งหมดในท้ายที่สุดแล้วจะต้องถูกนำไปเล่นได้กับทุก PLATFORMS เช่น PC และอาจจะรวมถึง ‘มือถือ’ ด้วย
ประเด็นที่ 6 SUBSCRIPTIONS
เทรนด์ฮอตฮิตแห่งยุคนี้ ที่ทางฝ่าย MICROSOFT แสดงออกและเล็งเป้าอย่างชัดเจนมากกว่า ‘คู่แข่ง’ คนสำคัญ เห็นได้จากการพยายามเดินหน้าอย่างจริงจังในการพัฒนา PROJECT X CLOUD (เล่นเกมผ่านระบบ CLOUD จากหลายๆ PLATFORMS แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น Android หรือ iOS) และบริการ GAMEPASS ระบบการเล่นเกมแบบบุฟเฟต์ (หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า NETFLIX ของวงการ GAME ก็ได้) และยังไม่นับของเดิม อย่าง XBOX GAME PASS (ระบบขายเกมและเล่นเกมออนไลน์ของเครื่อง XBOX) ที่คิดค่าบริการ 10 เหรียญสหรัฐต่อเดือน ที่ปัจจุบันมียอดสมาชิกอยู่ที่ 10 ล้านราย
นอกจากนี้ ยังมีแผนนำเกมสำหรับเครื่อง Xbox Series X ทั้งหมด ให้สามารถเล่นได้กับ CONSOLE รุ่นเก่า อย่าง XBOX ONE หรือ PC ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น คือ เกมเรือธงของค่าย อย่าง HALO พระเอกของซีรีส์ XBOX มาโดยตลอดอีกด้วย
โดยทั้งหมดที่ทำลงไปเพื่อเป้าหมายเดียว นั่นก็คือ การกอบโกยจำนวน ‘เกมเมอร์’ มาให้ได้มากที่สุด โดยที่อาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อ Xbox Series X เลยสักเครื่องก็ได้!
ซึ่งประเด็นนี้ บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการวางตำแหน่งทางการตลาดให้กับ XBOX รุ่นต่อๆ ไป เพราะบรรดา ‘ดิจิตอลเกม’ ที่อยู่ใน XBOX LIBRARY จะยังสามารถเดินหน้าทำเงินจากบรรดาลูกค้าและขยาย COMMUNITIES ได้ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดชะงัก เมื่อเวลามีการเปลี่ยน GEN ซึ่งแต่เดิมทุกอย่างจะต้องไปเริ่มต้นกันใหม่ทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้เกมที่มีคนเล่นออนไลน์พร้อมๆ กัน นับล้านๆ คนในแต่ละวัน อย่าง Fortnite และ Minecraft น่าจะพึงพอใจกับ ‘ไม้เท้าวิเศษ’ นี้เอามากๆ
ตอกย้ำด้วยการที่ล่าสุด Phil Spencer ผู้บริหารระดับสูงของ MICROSOFT ได้ออกมาแสดงทัศนะที่ว่า SONY และ NINTENDO ไม่ใช่คู่แข่ง(คนสำคัญ) สำหรับ MICROSOFT อีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจุบัน คู่แข่งที่บริษัทกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด คือ AMAZON และ GOOGLE เนื่องจากทั้งคู่มีระบบ CLOUD ที่มีประสิทธิภาพสูง ถึงแม้ว่าระบบดังกล่าวจะยังสร้างประสบการณ์ในการเล่นที่น่าผิดหวังให้กับบรรดาเกมเมอร์ส่วนหนึ่งก็ตาม ในขณะที่ SONY และ NINTENDO ได้ก้าวเท้าออกจากเส้นทางสู่อนาคตของวงการเกมไปแล้ว จากการที่ยังคงยึดติดกับเกมในขนบเดิมๆ อยู่
เอาล่ะ แม้ฝ่าย SONY ดูเบื้องหน้าราวกับจะตามหลังนิดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม คือ SONY เองก็มีระบบ Game-Streaming Service หรือในชื่อที่เรียกว่า PLAYSTATION PLUS ซึ่งคิดค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ประมาณ 6-10 เหรียญสหรัฐ จากยอดผู้ใช้บริการ ณ ปัจจุบัน ที่มีอยู่ถึง 41.5 ล้านราย (สถิติ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2020)
หากแต่สิ่งที่ SONY ยังไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนจนถึงตอนนี้ ก็คือ
1. ยังคงมีความคลุมเครืออยู่ว่า PS5 จะสามารถพาเกมเมอร์หวนคืนวันชื่นคืนสุขในการกลับไปเล่นเกมเก่าๆ จาก PS1, PS2, PS3 และ PS4 ได้ทุกเกมหรือไม่?
2. ระบบ CLOUD ซึ่งจะนำไปสู่การ STREAM เกมจาก PLAYSTATION ไปเล่นในมือถือ หรือแท็บเล็ต หรือทีวี ที่เบื้องหน้าดูเหมือนกำลังตามหลังคู่แข่งอย่างสุดกู่นั้น ความจริงมันเป็นเช่นนั้นหรือไม่?
นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งเห็นตรงกัน คือ แม้ว่า MICROSOFT จะไฉไลเป็นบ้า เรื่องสารพัดความพยายามในการนำเสนอทางเลือกใหม่ๆ สำหรับการเล่นเกมได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุก PLATFORM แต่สิ่งหนึ่งที่ MICROSOFT อาจจะมองข้ามไป คือ เหล่า FANBOY SONY ไม่ได้มีความปรารถนาใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนตัวเอง ไปเล่นเกม นอกเหนือไปจากบนพื้นที่ที่ตัวเอง "คุ้นชิน" และที่สำคัญที่สุด คือ SONY ยังมี GAME EXCLUSIVES ทั้งของตัวเองและ THIRD PARTY มากมายอยู่ในมือ ในแบบที่ MICROSOFT "ไม่มี"
และอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ (หรือเปล่า?) สำนักวิจัยด้านการตลาดวงการเกมจึงได้คาดการณ์ว่า SONY จะยังคงเป็นผู้ชนะใน CONSOLE WARS ครั้งล่าสุดนี้อยู่ต่อไป หลังนำข้อมูลแวดล้อมต่างๆ ในอดีต เช่น ยอดขายก่อนหน้านี้ รวมถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทั้งคู่เคยนำมาใช้ จนได้ผลสรุปคือ PS5 น่าจะทำยอดขายได้ราว 66 ล้านเครื่อง เมื่อสิ้นสุดปี 2024 ในขณะที่ SERIES X น่าจะขายได้เพียง 37 ล้านเครื่องเท่านั้น
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
END CREDIT
คำถามยอดฮิต สมัยนี้ใครเขาจะยังเล่นเกมจากเครื่อง CONSOLE กัน ขนาด TV ยังแทบไม่มีใครซื้อกันเลย?
ธุรกิจเกมจาก MOBILE และ TABLET กำลังฆ่า CONSOLE จริงหรือ?
หากจะตอบคำถามที่ว่า เราต้องไปดูข้อมูลนี้กันก่อน...
NINTENDO ขาย ‘นินเทนโด สวิตช์’ (NINTENDO SWITCH) ได้ถึง 17.3 ล้านเครื่องทั่วโลกในปี 2019 ส่วน PS4 และ PS4 PRO ของ SONY แม้จะอยู่ในช่วงปลายๆ ของ GEN แต่ก็ยังอุตสาห์ขายได้รวมกันถึง 17.1 ล้านเครื่อง ส่วน MICROSOFT เองก็ยังขาย Xbox One และ Xbox One X ในช่วงปลายๆ สุดท้ายของ GEN เช่นกัน ได้อีก 10 ล้านเครื่อง
นอกจากนี้ ในปี 2019 ที่ผ่านมา ตัวเลขครัวเรือนในอเมริกาเหนือที่มีเครื่อง CONSOLE ไว้ในครอบครองอย่างน้อย 1 เครื่อง ยังสูงขึ้นถึง 45% ในขณะที่ยุโรปตะวันตกเพิ่มขึ้น 20%
อ่อ…ลืมบอกไปอีก ในปี 2018 ยอดขาย CONSOLE ทั่วโลกรวมกันยังสูงถึง 46.1 ล้านเครื่อง ซึ่งถือเป็นตัวเลขยอดขายที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาอีกด้วยนะ...
แบบนี้คงตอบได้แล้วมั้งว่า...ตลาดเครื่อง CONSOLE จะถูกฆ่าโดย MOBILE และ TABLET จริงหรือไม่!
โดย ‘เดวิด วัตต์กิ้น’ (DAVID WATKINS) นักวิเคราะห์ด้านกลยุทธ์การตลาด ให้ความเห็นที่น่าสนใจเอาไว้ว่า ธุรกิจเครื่อง CONSOLE ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งผิดไปจากที่หลายฝ่ายคาดเอาไว้ ถึงแม้จะมีความพยายามนำเสนอทางเลือกอื่นๆ ให้กับเกมเมอร์ ไม่ว่าจะเป็น เกมมือถือ การมาถึงของ VR หรือแม้กระทั่งเกมที่คุณสามารถเล่นได้ในทุกๆ ที่ผ่านระบบ CLOUD หรือในชื่อ STADIA ข้อเสนอใหม่ล่าสุดจาก GOOGLE แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นก็ยังไม่สามารถฆ่า CONSOLE ให้ตายลงได้
ซึ่งนั่นแปลว่า GAME PLATFORMS ทางเลือกเหล่านั้น ยังคงมี ‘จุดอ่อน’ และ ‘ข้อจำกัด’ ที่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ให้กับบรรดาเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับการเล่น CONSOLE ที่เชื่อมต่อกับหน้าจอทีวี ซึ่งสามารถยืนระยะมาได้ยาวนานร่วม 6 ทศวรรษเข้าให้แล้ว
ข่าวอื่นๆ:
"เอาล่ะ" - Google News
July 29, 2020 at 05:30AM
https://ift.tt/2P55xpa
PS5 VS Xbox เทียบสเปกชัด จุดชี้ขาด "ล่องลอยในอากาศ" - ไทยรัฐ
"เอาล่ะ" - Google News
https://ift.tt/36Ul8Qj
Home To Blog
No comments:
Post a Comment